วันที่ 7 กันยายน 2567 กรณีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง ไทม์ไลน์โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล จะแจกทันเดือนกันยายนนี้หรือไม่ โดยเปิดเผยว่า เนื่องจากกระบวนการแถลงนโยบายเสร็จค่อนข้างเร็ว เพราะตอนแรก กังวลว่ากระบวนการนี้จะไปแล้วเสร็จเอากลางเดือนกันยายน 2567 ก็จะทำให้ไทม์ไลน์การแจกเงินนั้นล่าช้าออกไป แต่ตอนนี้ยังมีเหลืออีกครึ่งเดือน ซึ่งกระบวนการทั้งหมดก็ยังเดินหน้าต่อ
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังคงยึดไทม์ไลน์เดิม ดังนี้
ปิดรับลงทะเบียนกลุ่มสมาร์ทโฟน
ในวันที่ 15 ก.ย. 2567 และ
เปิดลงทะเบียนในกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน
ในวันที่ 16 ก.ย.-16 ต.ค. 2567
ทั้งนี้ยังติดที่ยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดต่อประชาชน แต่จะมีการนับแถลงรายละเอียด ในช่วงวันที่ 12-13 ก.ย. 2567
ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการดิจิทัลวอลเลตจะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้เหมาะสมไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยเบื้องต้น การแจกเงินจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก ได้เงินก่อน เดือน ก.ย.นี้ คือ กลุ่มเปราะบาง ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อน ได้รับเงินก่อน
โดยตัวเลขผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐมีประมาณ 13-14 ล้านคน ซึ่งเป็นยอดที่ลดลงจากการลงทะเบียนตอนแรก และคนพิการจำนวน 1 ล้านราย
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มทั่วไปที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการไว้ผ่านช่องทางแอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งจะปิดลงทะเบียนในวันที่ 15 กันยายน 2567
กลุ่มเปราะบางคือใคร
ผู้มีรายได้น้อย
ผู้สูงอายุ
ผู้พิการ
ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน
ยอดลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โดยล่าสุดประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” แล้วกว่า 30 ล้านราย ซึ่งมีการชะลอลงเป็นเรื่องปกติ โดยคาดว่าช่วงวันก่อนปิดลงทะเบียนจะมีคนเข้ามามากขึ้น เงื่อนไขเงินดิจิทัล 10 000 บาท ใครมีสิทธิได้รับเงินบ้าง
ประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
สัญชาติไทย
มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน (15 กันยายน 2567)
ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท
เงินฝากดังกล่าวหมายความถึงเฉพาะเงินฝากที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมถึงเงินฝากในบัญชีร่วม และเป็นเงินฝาก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการโครงการอื่น ๆ ของรัฐ
ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่นๆ ของรัฐ