เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 3 ธ.ค. ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. เปิดเผยถึง 3 คดีสำคัญ ว่า สำหรับความคืบหน้าคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้เข้าไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องเงิน 39 ล้านบาท ของน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย กับทนายตั้มในเรือนจำเป็นที่เ รียบร้อย โดยมีการแจ้งข้อหากับทนายตั้มทั้งหมดรวมแล้ว 7 ข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ, ร่วมกันแจ้งความเท็จ , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน
โดยทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับกรณีเงิน 71 ล้านบาท, ส่วนต่างค่าออกแบบ 5.5 ล้านบาท, ค่ารถเบนซ์ 1.5 ล้านบาท และเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งขณะที่ไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ตัวทนายตั้มให้การปฏิเสธ และมีการกล่าวอ้างว่ามีพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ในขั้นตอนที่ทางตำรวจจะต้องดำเนินการต่อ นอกจากนี้ก็เตรียมเข้าแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับนายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ และน.ส.สารินี นุชนารถ หรือสา
ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้อายัดเงินในบัญชีของทนายตั้ม 28 ล้านบาท โดยเป็นเงินที่เชื่อมโยงถึงเงิน 71 ล้านบาทจากเจ๊อ้อย รวมถึงมีการยึดรถหรูปอร์เช่ของทนายตั้มและนายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ และยึดรถเบนซ์ของน.ส.สารินี นุชนารถ หรือสา นอกจากนี้ยังมีการแจ้งรายงานทรัพย์สินเป็นรถ 4 คันและบ้านกับที่ดินรวม 8 รายการ ของทนายตั้มไปยังหน่วยงาน ปปง. แล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดคดีนี้ถึงเป็นคดีนอกราชอาณาจักร พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เพราะมีพฤติการณ์กระทำผิดส่วนหนึ่งส่วนใดที่อยู่นอกราชอาณาจักร ในเรื่องการหลอกลวงหรือการส่งเอกสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร โดยบช.ก.ได้มีการแจ้งกับทางอัยการสูงสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในการสืบสวนสอบสวน ทางตำรวจทำทุกมิติ
โดยตอนนี้มีความคืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และอยู่ในระหว่างเก็บรายละเอียดรวบรวมข้อมูลทางคดี คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน และอาจจะมีการดำเนินคดีกับคนอื่นเพิ่มเติม แต่ในส่วนเรื่องพินัยกรรมของเจ๊อ้อย ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษในประเด็นนี้ และสำหรับคดีนี้จะเร่งรัดการสรุปสำนวนคดีให้ทันในฝาก 3 แต่หากไม่ทันก็จะอยู่ในประมาณฝาก 4 สำหรับคดีนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม ก็ได้มีการออกหมายเรียกไปแล้ว
และได้มีการนัดหมายไปแล้วในวันที่ 6 ธ.ค. แต่ถ้าตัวของนายฟิล์ม จะเข้ามาพบหรือให้การก่อนก็สามารถทำได้ แม้นอกเวลาราชการ โดยเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทนายความของนายฟิล์มได้มีการมาลงบันทึกประจำวันไว้ที่บช.ก.เป็นหลักฐานว่าไม่ได้หลบหนีมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และพร้อมที่จะมาพบพนักงานสอบสวน แต่หลังจากที่ตำรวจออกหมายเรียกไป เท่าที่ตนทราบยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ส่วนหมายเรียกเจ้าหน้าที่ได้จัดส่งตามภูมิลำเนา การที่จะอ้างว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ภูมิลำเนาก็เป็นสิทธิ์ของตัวนายฟิล์ม
ส่วนกรอบระยะเวลาในการพิจารณาออกหมายเรียกครั้งที่ 2 นั้น ก็ยังไม่ได้พิจารณาขอให้เสร็จสิ้นกระบวนการหมายเรียกครั้งที่ 1 ก่อน จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก็มีการร้องทุกข์กล่าวโทษในเรื่องความผิดพยายามกรรโชกทรัพย์ และอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ การออกหมายเรียกแสดงว่าคดีนี้มีมูล จึงได้ออกหมายเรียกให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนคดีของนายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่มกรรชัย เป็นอีกคดีหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของการหมิ่นประมาท ไม่ได้รวมเป็นสำนวนเดียวกัน ถามต่อว่าจะตั้งประเด็นอะไรในการสอบปากคำนายฟิล์มเป็นพิเศษหรือไม่ พล.ต.ต.มนตรี ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่มี ขอทำไปตามกระบวนการของกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวว่าต้องมีการระมัดระวังการเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่ พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอำนาจควบคุมอะไร ส่วนเรื่องการติดตามเฝ้าระวังก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นปกติอยู่แล้ว สำหรับกรณีนายสามารถ เจนชัยจิตรวานิช เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ข้อหากรรโชกทรัพย์อีก 1 ราย ที่ถูกเรียกรับทรัพย์เดือนละ 30,000 บาท รวมแล้วประมาณ 5 แสนบาท ในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่รวบรวมพยานหลักฐานอยู่
เมื่อถามว่าต้องมีการไปสอบปากคำเพิ่มเติมกับนายสามารถ ในเรือนจำหรือไม่ พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่รวบรวมพยานหลักฐานก่อนหากมีพยานหลักฐานตามสมควรก็จะมีการแจ้งข้อหาหรือสืบสวนตามขั้นตอนต่อไป โดยขณะนี้เท่าที่ทราบยังไม่มีผู้เสียหายของนายสามารถมาแจ้งความเพิ่มเติม