ยังคงเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับเรื่องราวของนักร้องคนดัง หนุ่ม กะลา และอดีตภรรยา จูน เพ็ญชุลี ที่ล่าสุดออกมาฟาดฟันกันผ่านสื่อ ปมยักยอกทรัพย์ 66 ล้านบาทไป งานนี้ทำเอาหลายคนสนใจหนักมากและติดตามกันอย่างมากมายนั้น
-‘หนุ่ม กะลา’ รับตรงไปตรงมาเป็นคนบื้อๆ เล่าตอนยังไม่รวย ‘จูน’ ก็เอาเงินแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โลกออนไลน์ต่างพูดถึงกันเป็นอย่างมาก ภายหลังจากที่ทนายพัฒน์ อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ เจ้าของฉายาทนายเมียหลวง และเป็นทนายความของ จูน เพ็ญชุลี ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า “ถ้าจูนเพ็ญชุลีต้องมาติดคุกเพราะคดีแค่นี้ บรรดาเมีย ๆ ที่ใช้เงินผัว ติดคุกกันทั้งประเทศผมบอกเลย” #หลักกฎหมายอาญาเรื่องเจตนาจะมีไว้ทำไม?
นอกจากนี้ “ทนายพัฒน์” ยังเผยเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “ผมได้ยินข่าวว่ามีคนจะเอาจูนติดคุก ถ้าไม่ใช่จูนแล้วเป็นคนอื่นล่ะ ก็ไม่แน่นะครับ #ตอบตรง ๆ ไม่เคยกลัว” พร้อมย้ำว่า ผมจะดูแลพี่เอง ไว้ใจผม ผมเชื่อว่าวันหนึ่งอุปสรรคมันต้องผ่านไปให้ได้ ถ้าไม่มีใครยืนข้างพี่ จำไว้ว่า หันหลังมามีผมเสมอครับ
อย่างไรก็ตาม ทนายพัฒน์ ยังได้เผยถึงข้อกฎหมาย “กฎหมายประเทศไทยได้บัญญัติเหตุหย่าไว้ชัดเจนว่า หากจะหย่ากันจะต้องมีเหตุตามกฎหมายที่ชัดเจนด้วย” คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 บัญญัติไว้ว่า “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/1) 2 สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/2) 3 สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(5) 4 สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้..