“ต่าย อรทัย” นักร้องเจ้าของฉายา “ราชินีดอกหญ้า” ไม่หลงชื่อเสียง จนมองข้ามสัจธรรมชีวิต มีขึ้นมีลง รับมือการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เนิ่นๆ เปิดบ้านเป็นสตูดิโอ และคาเฟ่ หารายได้ รองรับอนาคตเมื่อตกยุคแล้วต้องไม่ตกอับ
“ต่าย อรทัย” เปิดบ้านเลขที่ 18 ในซอยนิมิตรใหม่ 30 ย่านมีนบุรี ที่อาศัย และดัดแปลงเป็น “บ้านต่ายสตูดิโอ” ให้เช้า และคาเฟ่มุมสงบปลีกวิกเวกความวุ่นวาย ฟีลเหมือนไปนั่งเล่นบ้านเพื่อน อัปเดตความเคลื่อนไหวของเธอในวงการเพลง และการดำเนินชีวิต เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ
นักร้องค่ายแกรมมี่ โกลด์ บอกว่า เพลงใหม่ในรอบ 5 ปี มีชื่อว่า “ผู้หญิงหัวใจอีสาน” มี “ครูสลา คุณวุฒิ” ศิลปินแห่งชาติ โปรดิวเซอร์คู่บุญดูแลการผลิต ถ่ายทอดประเพณีลุ่มแม่น้ำโขง ชี มูล และเล่าถึงการต่อสู้ชีวิตของลูกผู้หญิง และลูกผู้ชายอีสาน ต้องใช้ความเพียรพยายาม ความอดทน จนประสบความสำเร็จในสาขาแตกต่างกันไป เฉกเช่นเดียวกับเธอที่มุมานะ ก้าวข้ามผ่านความยากลำบาก จนประสบความสำเร็จบนเส้นทางศิลปิน
นักร้องลูุกทุ่งอีสาน บอกต่อว่า ย้อนกลับไปมองเส้นทาง ดอกหญ้า จาก อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เข้ามาอยู่ในป่าปูน ประสบความสำเร็จ เป็นศิลปินชั้นนำ ได้ฉายา “ราชินีดอกหญ้า” ครองใจมหาชนมายาวนาน
“เรียกว่าเป็นการเดินทางที่มาไกลมาก” ต่ายบอก
“เหมือนเราถูกรางวัลที่ 1 เลยก็ว่าได้ วันแรกที่ยอดขายมันทะลุล้านตลับ เรามีความรู้สึก โอ้โหวันนี้คือ มันมาไกลมาก พอมันประสบความสำเร็จต่อเนื่อง มาเป็นชุดที่ 1 ชุดที่ 2 ชุดที่ 3 แล้วก็ล้านๆ ล้านๆ ตลอด”
“มันมากกว่าความภูมิใจ เพราะว่า เส้นทางที่มันจะทำให้เราได้ออกอัลบั้ม มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเข้ามากรุงเทพฯ ครั้งแรก กับคุณแม่ ก็มาอยู่แคมป์คนงานก่อสร้าง ไปรับเสื้อผ้าอยู่ประตูน้ำ อยู่แพลตตินั่ม ก็ไปรับมาแล้ว”
“ขนของจนเป็นลมบนรถเมล์ ก็ต้องทำ กว่าค่ายกว่าผูใหญ่ จะเห็นความสามารถ ให้โอกาสเรา และเราก็บ่มเพาะตัวเองนานมาก มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็โยนเพลงให้กันร้อง แล้วก็เข้าห้องอัดได้เลย เทียวไปเทียวมา กลับห้องกับแกรมมี่ อยู่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันเหนื่อยยาก ลำบากกับเส้นทางมากๆ”
ต่าย อรทัย โด่งดังครองใจแฟนเพลงตั้งแต่ปี 2543 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 24 ปี ถือเป็นนักร้องลูกทุ่งหญิงที่สร้างสถิติยอดขายสูงสุดไว้ติดต่อกัน 3 อัลบั้มรวด สร้างสถิติยอดดาวน์โหลดเพลงสูงสุด ตลอดจนมีผลงานเพลงที่ทะลุ 100 ล้านวิว บนยูทูปมากมาย อีกทั้งยังมีคนติดตามมากที่สุดของนักร้องลูกทุ่งอีกด้วย
นักร้องที่ได้รับรางวัลการันตี ความยอดเยี่ยม และยอดนิยม หลายรางวัล อาทิ รางวัลพระพิฆเนศทองคำพระราชทาน รางวัลมาลัยทอง บอกว่า ในการดำเนินชีวิตส่วนตัว เธอไม่ยึดติดกับชื่อเสียงจนมองข้ามสัจธรรมชีวิต มีขึ้นมีลง มีเก่าไปใหม่ โลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นของธรรมดา เป็นมาทำให้ไปจับธุรกิจรีสอร์ท “นาไทยนาต่าย” ที่ จ.นครนายก หารายได้ ไว้รับมือการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เนิ่นๆ
“ในช่วงมีชื่อเสียง คนนั้นก็ชื่นชมคนนี้ก็ยกย่อง ยกยอ มันเป็นเรื่องปกติ เราก็จะอยู่ในช่วงที่มีชื่อเสียง ในวาระหนึ่งเท่านั้น เก่าไปใหม่มาๆ มันขึ้นได้มันลงได้ มันเป็นอะไรที่มันเป็นสัจธรรมมาก แล้วก็มันเป็นอะไรที่แน่นอนมากๆ ถึงวันหนึ่ง อาจจะไม่มีชื่อตรงนี้ โผล่ขึ้นมาให้ทุกคนได้ยินอีกแล้วก็เป็นได้”
“สุขภาพของเรา ก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เราพอจะมีหนทางอื่นๆ ไหม ที่เราจะปูทางเอาไว้ให้กับตัวเอง ในช่วงบั้นปลาย มันก็เลยทำให้ผุดรีสอร์ทเชิงแคมป์ปิ้ง นาไทยนาต่าย ขึ้น หลายท่านก็ไป อุดหนุน ทั้งที่พัก ทั้งคาเฟ่ มาร่วมๆ 2 เกือบ 3 ปี แล้วนะคะ”
ต่าย บอกอีกว่า ล่าสุด เธอตัดสินเปิดบ้านเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ บิ้วให้เป็นสตูดิโอให้เช่า และค่าเฟ่ เปิดต้อนรับผู้มาใช้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น.
“วันนี้ก็ทำสตูดิโอขึ้นเล็กๆ ในพื้นที่บ้านของตัวเอง ก็ใช้ชื่อตัวเองเลยค่ะ บ้านต่ายสตูดิโอ มีคาเฟ่เล็กๆ ไว้รองรับ เวลามีทีมงาน มาเช่าสตูดิโอข้างบน ถ่ายงานถ่ายภาพนิ่ง รีวิวสินค้า หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือว่ามาซ้อมโชว์ข้างบน ก็ได้เหมือนกัน”
“สภาพเศรษฐกิจ ในช่วงยุคโควิดที่ผ่านมา อุ๊ยมันน่ากลัวจริง ต่อให้วันนี้โควิดมันผ่านไป แต่สภาพเศรษฐกิจ มันทำให้เรา อุ้ย อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ มันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จุดประกาย บ้านนี่เนอะ ต่ายก็พยายามทำอะไรขึ้นมา หมายถึง ก็ต้องลงทุนกับมันนิดนึง เพื่อที่มันจะหมุนเวียน สร้างรายได้เข้ามา”
“อย่างคาเฟ่เล็กๆ ต่ายเองก็อยู่ที่นี่ได้ รอต้อนรับทุกคน มาถ่ายรูป เราก็ชงน้ำให้ เออนี่นะมาตรงนี้มาถ่ายรูปกับต่าย หรือว่าสตูดิโอต่ายเอง ก็ยึดจากอาชีพของตัวเอง ก็เอาที่ตัวเองไหว เอาเท่าที่ตัวเอง มีความรู้ความสามารถ แล้วเราก็รู้สึกว่าเรมองเห็นภาพมาก ว่าเราจะอยู่กับเขายังไง และพัฒนาได้แบบไหนค่ะ”
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ต่าย บอกอีกว่า ธุรกิจ และกิจการที่สร้างขึ้นมาในวันนี้ เป็นการเตรียมตัวสู่การเปลี่ยนแปลง ในอนาคต พูดได้ว่า “ถ้าวันหนึ่งชื่อเสียงเราไม่ได้มีเหมือนเดิมแล้ว ชีวิตเราต้องไม่ตกอับ”
“ถ้าวันหนึ่งเดินทางไปร้องเพลงให้กับทุกคนไม่ไหวแล้ว ชีวิตเรายังจะต้องอยู่ได้ มีอาชีพการงารอื่นๆ รองรับได้ ตามข่าวตามอะไร ที่มีชีวิตที่ตกอับ บางทีเราก็แวบ ไปคิดเหมือนกันว่า ถ้าสมมติว่า ชีวิตเราเป็นแบบนั้น คือมันก็แอบน่ากลัว แอบขนลุกเหมือนกัน มีความหดหู่ น่าเวทนา ในความรู้สึก แต่ว่ามันก็เตือนสติเรา”
“ทำให้เราได้เตรียมรับมืออยู่เสมอ แบ่งเก็บแบ่งใช้ให้ดี พยายามเรียนรู้ว่า มันจะต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ได้ไหม สิ่งที่เราเริ่มมา โชคก็ส่วนหนึ่ง
แต่สิ่งที่เรากำหนดได้ ก็เป็นอะไรที่สำคัญกับชีวิตเรา ถ้าเราไม่สร้างอะไรกับมัน นั่งอยู่เฉยๆ มันก็คงไม่มาถึงวันนี้”
“ในบ้านเรา มันเหมือนกับค่าครองชีพ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำไมมันไม่ลดลงสักที หรืออยู่ในจุดเศรษฐกิจดี แล้วก็แบบเก็บตังค์ได้ แต่ในเมื่อเราควบคุมไม่ได้ ก็น่าจะอยู่ที่ตัวเรา ปูพื้นฐานให้กับตัวเอง สร้างอะไรต่างๆ ไว้ให้กับตัวเอง”