เมื่อเวลา 20.57 น. วันที่ 12 กันยายน 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกล่าวในช่วงหนึ่ง ว่า นโยบายรัฐบาลนี้เริ่มต้นด้วยมิติของเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องประชาชนเป็นหลัก ในเรื่องข้อซักถามว่าทำไมแนวนโยบายของรัฐบาลจึงไม่ลงรายละเอียด เนื่องจากมีความแตกต่างกันของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ซึ่งฉบับ 2560 มีการกำหนดให้ลงรายละเอียดเท่าที่รัฐบาลได้จัดทำ โดยทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
กรณีมีข้อห่วงใยว่านโยบายรัฐบาลคล้ายคลึงกับสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้ปาฐกถา เรียนว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเรารับสืบทอดอุดมการณ์มาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย มาเป็นพรรคพลังประชาชน จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย สำหรับแกนนำรัฐบาล ก็คงไม่ต่างกัน ท่านก็สืบทอดเจตนารมณ์มาจากอดีตพรรคการเมืองหนึ่งเช่นเดียวกัน ถูกยุบมา ก็เปลี่ยนมา แต่แนวความคิดก็ยังสืบทอดต่อกันมา มันเป็นเรื่องปกติ ในส่วนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า ขณะนี้โครงการค่อนข้างพร้อมในเรื่องของเม็ดเงิน ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาทุกคนที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เรามีเงิน 3 แสนกว่าล้านบาท สำหรับการบริหารจัดการโครงการนี้
สำหรับเฟส 1 กลุ่มเปราะบาง แบ่งเป็นกลุ่มผู้พิการ ราว 2.1 ล้านคน โดยไม่ได้จำกัดในเรื่องอายุ รายได้ ถ้าขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ถือเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ และกลุ่มผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ราว 13.5 ล้านคน โดยย้ำว่าเงินจะไม่ได้ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่จะผ่านบัญชี เมื่อนำ 2 กลุ่มมารวมกันไม่ให้รายชื่อซ้ำจะได้ประชากรทั้งสิ้น 14.5 ล้านคน ใช้เม็ดเงินซึ่งมีการเตรียมการเรียบร้อย 1.45 แสนล้านบาท โดยประมาณ “กลุ่มนี้จะได้รับเป็นเงินสด สาเหตุที่เปลี่ยนเป็นเงินสด เพราะรับฟังความคิดเห็น ท่านสมาชิกวุฒิสภา ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็อยากให้มีการเร่งรัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็มองเห็นว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะปัจจุบันทันด่วนมีความจำเป็น เราก็ได้พิจารณาในการปรับเปลี่ยน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะได้รับเป็นเงินสดผ่านทางบัญชี” ทั้งนี้ กลุ่มคนพิการ ขอบคุณกระทรวง พม. ที่มีการผูกบัญชีคนกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้วทั้ง 2.1 ล้านคน เพื่อรับเงินช่วยเหลือประเภทต่าง ๆ ส่วนกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหลือประมาณ 1 ล้านคนเศษ ยังไม่ได้ผูกบัญชีกับระบบพร้อมเพย์ ขอให้ไปธนาคารหรือตู้ ATM เพื่อดำเนินการ ทั้งนี้ จะสามารถโอนเงินให้กลุ่มเปราะบางที่กำหนดกรอบไว้ช่วงวันที่ 25-30 กันยายนนี้
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อไปว่า ขั้นตอนจากนี้จะต้องบริหารจัดการในงบประมาณส่วนที่เหลือ เพราะเป็นงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการเติมเงินจะเป็นในระบบดิจิทัลวอลเล็ต ยังคงมีทุกอย่าง ทั้งบล็อกเชน วอลเล็ต รวมถึงข้อจำกัดให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ซึ่งระบบจะทำเสร็จได้ในไม่นาน จากนั้นจะประกาศวันให้ชัดอีกทีว่าจะเริ่มโครงการวันไหน ในส่วนของข้อห่วงใยซึ่งมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เราจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบต่อไป “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เงินก็จะถึงมือพี่น้องประชาชน 10,000 บาทจนครบได้ แล้วเราก็จะสามารถเดินหน้าได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเบื้องต้น คือเดือนกันยายนนี้ ได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระลอกถัด ๆ ไป
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้ในเรื่องของการสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับพี่น้องประชาชนมีความคุ้นชิน” พร้อมกันนี้ นายจุลพันธ์ ยังได้ตอบโต้ในวาทกรรม “1 ปีสูญเปล่า 3 ปีเจ๊ากับเจ๊ง” ว่า เป็นมุมมองที่แตกต่าง แต่ยืนยันว่า 1 ปี ไม่สูญเปล่า เพราะที่ผ่านมาซ่อมสร้างหลายอย่าง อาทิ พักหนี้เกษตรกร รถไฟฟ้าที่เริ่มแล้วบางสาย 20 บาทเป็นไปได้ เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ วันนี้รายได้จากการท่องเที่ยวทำนิวไฮไปแล้ว ประเทศไทยไม่เคยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวขนาดนี้มาก่อน เราซ่อมศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก เป็นต้น.
วิธีผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนของแต่ละธนาคาร